รักษาสิวด้วยตัวเอง ซื้อยารักษาสิวใช้เอง ทำไมสิวไม่หาย ไม่ดีขึ้นสักที วันนี้ หมอเจี๊ยบ หมอรักษาสิวโคราช มีคำตอบจากประสบการณ์จริงที่พบเจอในทุกๆวัน ที่คลินิกรักษาสิวโคราชมาเล่าให้ฟังค่ะด้วยประสบการณ์รักษาคนไข้สิวมากว่า 12 ปี คนไข้มากกว่า 10,000 เคส
สาเหตุที่พบได้บ่อยที่ทำให้สิวไม่หาย ไม่ดีขึ้นสักที มีอะไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ
1. ใช้ยาไม่ตรงกับความรุนแรงของสิวที่เป็น
ไม่ว่าจะเป็นสิวระดับความรุนแรงแค่ไหน การรักษาหลักของสิวยังคงเป็นการใช้ยา โดยที่
- กรณีเป็นสิวระดับเล็กน้อย (Mild )
การรักษาหลักคือการใช้ยาทา ซึ่งก็เพียงพอในการดูแลรักษา - กรณีเป็นสิวระดับปานกลาง(moderate Acne)
การรักษาหลักคือการใช้ยาทา ร่วมกับ ยารับประทานกลุ่มยาปฏิชีวนะ การใช้ยาทาอย่างเดียวอาจไม่สามารถรักษาสิวให้หายได้ จำเป็นต้องอาศัยยารับประทานกลุ่มยาปฏิชีวนะร่วมด้วย การรักษาจึงจะเห็นผลดี - กรณีเป็นสิวระดับรุนแรง (severe)
การรักษาหลักคือการใช้ยาทา ร่วมกับ ยารับประทานกลุ่มอนุพันธ์ขอวิตามินเอ การใช้ยาทาอย่างเดียวอาจไม่สามารถรักษาสิวให้หายได้
จำเป็นต้องอาศัยยารับประทานกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ (Isotretinoin) ร่วมด้วย การรักษาจึงจะเห็นผลดี ซึ่งยารับประทาน
กลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ เป็นยาที่ต้องใช้ในการควบคุมของแพทย์ จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ มีข้อห้ามและข้อควรระวังในการใช้ยาหลายอย่างเช่นห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรตรวจเลือดเพื่อดูค่าการทำงานของตับและค่าไขมันในเลือดระหว่างทานยาเป็นต้น ดังนั้นการซื้อยาจากร้านขายยามารับประทานเอง อาจส่งผลเสียให้ได้รับอันตรายจากยาจึงไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ควรรับการรักษาจากแพทย์เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมกับความรุนแรงของสิวที่เป็น
2. ใช้ยาทารักษาสิวไม่ครอบคลุมกลไกการเกิดสิว
โดยกลไกการเกิดสิวมี 4 กลไกดังนี้
ข้อ 1 มีการผลิตไขมันที่เพิ่มขึ้น
ข้อ 2 มีการอุดตันใสท่อรูขุมขน
ข้อ 3 แบคทีเรียเจริญเติบโตมากกว่าปกติ
ข้อ 4 มีกระบวนการอักเสบ
ซึ่งหลักการรักษาสิวควรรักษาให้ครอบคลุมทุกสาเหตุการเกิดสิวจึงจะทำให้ผลการรักษาดี ดังนี้
ข้อ 1 ลดการผลิตไขมันจากต่อมไขมัน
ข้อ 2 ลดการอุดตันในท่อรูขุมขน
ข้อ 3 ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
ข้อ 4 ลดการอักเสบ
ปัญหาที่มักพบได้บ่อยคือ
- การใช้ยาแต้มสิวซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะแบบทาเพียงอย่างเดียวซึ่งจะได้ผลดีกับสิวอักเสบ ทำให้ไม่สามารถรักษาและป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ และยังส่งผลให้เกิดการดื้อยาได้มากขึ้น
- ผิวหน้ามีปัญหาเรื่องสิวอุดตันซึ่งควรจะใช้ ยากลุ่มลดสิวอุดตัน เช่นยากลุ่มวิตามินเอ ร่วมด้วย แต่กลับใช้เพียงยากลุ่มลดสิวอักเสบเป็นหลัก ก็ส่งผลทำให้การรักษาเห็นผลไม่ดีเท่าที่ควร
- ผิวหน้ามีปัญหาเรื่องสิวอักเสบซึ่งควรจะใช้ยาลดสิวอักเสบเช่นกลุ่มBPO และกลุ่มยาปฏิชีวนะ ร่วมด้วย แต่กลับใช้เพียงยากลุ่มลดการอุดตันเป็นหลักก็ส่งผลทำให้การรักษาเห็นผลไม่ดีเท่าที่ควร
เพราะฉะนั้นจึงควรใช้ยาให้ครบทุกกลุ่มครอบคลุมกลไกการเกิดสิวทั้ง 4 กลไกเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด
3. ใช้ยารักษาไม่ตรงกับโรคที่เป็น
ใช้ยารักษาสิวแต่โรคที่เป็นไม่ใช่สิว เนื่องจากมีรอยโรคที่มีลักษณะคล้ายสิว แต่ไม่ใช่สิว เช่นการอักเสบของรูขุมขนจากเชื้อยีสต์ การอักเสบของรูขุมขนจากเชื้อแบคทีเรีย การอักเสบของรูขุมขนจากตัวไร ซึ่งการรักษาจะแตกต่างไปจากสิว ใช้ยาคนละกลุ่มกับยารักษาสิว
4. ใช้ยารักษาสิวเท่านั้น แต่ไม่ได้รักษาโรคที่เป็นปัจจัยก่อให้เกิดสิว
กลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายใบ เป็นโรคหนึ่งที่พบได้ว่าเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิว ซึ่งหมอพบในคนไข้ที่มารักษาสิวที่คลินิกรักษาสิวโคราชบ่อยๆ
เป็นความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ ที่พบบ่อยในทางนรีเวชโดยพบได้ประมาณ 5 – 10 % ในหญิงวัยเจริญพันธ์
เป็นกลุ่มอาการที่ประกอบไปด้วยภาวะ ที่มีฮอร์โมนแอนโดรเจนสูง ทำให้เกิด มีสิวขึ้นมากกว่าปกติ หน้ามัน ขนดก ด้านข้างของใบหน้า เหนือริมฝีปากคางอาจลามไปถึงคอได้ ศีรษะล้านแบบเพศชาย ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอน้ำหนักเกิน ร่วมกับภาวะ ไม่ตกไข่เรื้อรัง มีบุตรยาก
หากไม่รับการรักษาต่อเนื่อง อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเพิ่มขึ้นได้
ในอนาคต นอกจากนี้ยังเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน ระดับไขมันในเลือดสูงผิดปกติ เกิดกลุ่มอาการอ้วนลงพุง นำมาสู่ความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือหัวใจ มากขึ้นในอนาคต
สาเหตุการเกิด pcos ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดในปัจจุบัน
การที่คนไข้PCOS เป็นสิวนั้น เกิดจากการที่มีเเอนโดรเจน ไปเพิ่มการสร้าง Sebum จาก Pilocebaceons unit ทำให้มีโอกาส เกิดสิวได้มาก
ในกรณีที่สงสัยภาวะ PCOS ควรปรึกษาสูตินารีแพทย์ เพื่อการดูแลรักษาที่เหมาะสมร่วมไปกับการรักษาสิว เพราะการรักษาสิวเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้รักษาที่สาเหตุ สิวก็จะไม่หาย เห็นผลในการรักษาช้า
5. ใช้ยารักษาสิว แต่ไม่ได้ลดปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดสิว
การรักษาสิวต้องอาศัยความร่วมมือของคนไข้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดปัจจัยภายนอกที่มีผลทำให้เกิดสิว เช่น ใช้เครื่องสำอาง ทารองพื้นเป็นประจำ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่กันน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวได้ อาจหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ กรณีเป็นสิวที่สัมพันธ์กับปัจจัยภายนอกเช่นมลภาวะทางอากาศฝุ่นละอองอาจต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้ หรือ เป็นสิวสัมพันธ์กับการใส่ MASK อาจต้องเลือกใช้ Mask ที่ไม่ระคายเคืองผิว
6. ใช้ยารักษาสิวผิดวิธี
- ทายาเฉพาะจุดทำให้ไม่สามารถรักษาและป้องกันการเกิดสิวได้ดีเพียงพอ
- ไม่ทาครีมบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเพียงพอ ทาเพียงแต่ยารักษาสิวย่อมมีโอกาสเกิดการระคายเคือง แสบ แห้ง แดงลอกตามมา ไม่สามารถทนต่อการทายารักษาสิวได้ ส่งผลทำให้การรักษาเห็นผลช้า ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
- ยาทาที่ต้องทากลางคืนเท่านั้น นำมาทาในตอนกลางวันส่งผลทำให้ผิวไวต่อแสงมีผลข้างเคียงจากยาแถมการรักษาก็ไม่เห็นผลเท่าที่ควร
- บนใบหน้ามีทั้งสิวอักเสบสิวอุดตันทาแต่เฉพาะยารักษารอยดำสิวไม่ได้ทายาในกลุ่มรักษาสิวอักเสบและสิวอุดตันเลย ซึ่งทำให้ไม่มีการรักษาและป้องกันการเกิดสิวใหม่ ทำให้มีสิวใหม่วนเวียนขึ้นใหม่ไม่หยุดหย่อน
7. ใช้ยารับประทานได้ไม่เหมาะสม
การซื้อยามารับประทานเองอาจส่งผลทำให้รับประทานยาได้ไม่เหมาะสมต่อการรักษาเช่น
- กรณีเป็นสิวระดับปานกลาง การรับประทานยาปฏิชีวนะควรทานต่อเนื่องอย่างน้อย 4 สัปดาห์ถึงจะเริ่มเห็นผล ไม่ควรหยุดยาก่อน และควรทานต่อไปจนควบคุมสิวได้ โดยอยู่ในช่วง แต่ไม่ควรนานเกิน 3 เดือน
- กรณีเป็นสิวระดับรุนแรง การรับประทานยากลุมอนุพันธ์ของวิตามินเอ มีความจำเป็นอาจต้องทานต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน และระหว่างรับประทานยาต้องคุมกำเนิดอย่างเคร่งครัดเนื่องจากยาห้ามใช้ในผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ เป็นยาที่ต้องใช้ในการควบคุมของแพทย์ จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ควรตรวจเลือดเพื่อดูค่าการทำงานของตับและค่าไขมันในเลือดระหว่างทานยา
ปัญหาที่พบบ่อยคือผู้ป่วยซื้อยารับประทานเองจากร้านขายยา รับประทานยาเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์พอสิวเริ่มลดลงก็หยุดรับประทาน
ยา ทำให้การรักษายังไม่ทันเห็นผล หรือรับประทานต่อเนื่องแค่1-2เดือน จนสิวหายไป แต่ไม่ได้ทานต่อเนื่องระยะยาวอย่างน้อย6เดือน ทำให้ได้รับยาไม่ครบเพียงพอที่จะลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ในระยะยาวได้ดี จึงมีโอกาสที่สิวกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยหลังหยุดยา
8. สิวที่เป็นรุนแรงเกินกว่าจะรักษาด้วยตัวเอง
กรณีเป็นสิวระดับปานกลางขึ้นไปแนะนำเข้ารับการรักษา ปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมกับสิวที่เป็น สิวหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาผลที่ตามมาคือผลข้างเคียงของสิว ซึ่งหากเป็นรอยดำสิว รอยแดงสิว สามารถหายได้เองแต่อาจจะใช้เวลาเป็นปีแต่ถ้าเป็นหลุมสิวจะไม่หายไปเอง ค่าใช้จ่ายในการรักษาจะสูงขึ้น ระยะเวลารักษาจะนานขึ้น
9. การรักษาสิวใช้เวลานานกว่าจะเริ่มเห็นผล
หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมกับความรุนแรงของสิวที่เป็น การรักษาจะเห็นผลเริ่มที่ 4 – 8 สัปดาห์ เพราะฉะนั้น ในการทายาแต่ละตัวต้องใช้เวลา ต้องใจเย็นในการรักษา ซึ่งบางคนไม่เข้าใจตรงจุดนี้ ทำให้ลองเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ เปลี่ยนยาไปเรื่อยๆทั้งที่ยังไม่ทันจะเริ่มเห็นผล ทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง
10. ไม่ทายาป้องกันการเกิดสิวใหม่ต่อเนื่อง
หลังจากรักษาสิวโดยแพทย์ที่คลินิก จนหน้าใสไร้สิวไร้รอยแล้วแต่ไม่ทายาป้องกันการเกิดสิวใหม่ต่อเนื่อง แต่เริ่มกลับมาทายารักษาสิวเมื่อสิวเห่อจนกระทั่งเป็นสิวความรุนแรงเป็นระดับปานกลางขึ้นไปซึ่งจำเป็นต้องรับประทานยาร่วมด้วยแล้ว ถึงแม้ทายารักษาสิวเพียง อย่างเดียวแต่ไม่รับประทานยาทำให้เห็นผลการรักษาที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก จนบางคยท้อหมดกำลังใจในการรักษาไปเลยทีเดียว
11. ใช้เพียงเวชสำอางรักษาสิวแต่ไม่ได้ใช้ยารักษาสิว
เนื่องจากปัจจุบัน มีข้อมูลความรู้มากมายทางinternetเกี่ยวกับการรักษาสิว ทำให้คนไข้จำนวนไม่น้อยที่เลือกรักษาสิวด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้ใช้ยารักษาสิวโดยตรง เลือกใช้กลุ่มเวชสำอางที่คนโน้นว่าดี คนนี้ว่าดี นำมาใช้หลายกลุ่มซ้ำซ้อนกัน ที่หมอพบเจอได้บ่อยเช่นใช้ส่วนผสมของครีมเวชสำอาง 2 ตัวที่มีส่วนผสมเหมือนกันเช่น salicylic ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวมากกว่าเดิม แต่ผลในการรักษาไม่ได้มากขึ้น
12. ดูแลผิวไม่ถูกวิธี ทำความสะอาดใบหน้าได้ไม่สะอาดเพียงพอ
เช่นกรณีทาครีมกันแดดอาจแนะนำให้ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางก่อนล้างหน้า เพื่อที่จะทำความสะอาดผิวได้อย่างเพียงพอ ไม่แนะนำให้ล้างหน้าด้วยเจลล้างหน้าเพียงอย่างเดียวอาจส่งผลทำให้เกิดสิวได้
ในหลายครั้งหมอพบเจอว่าคนไข้ส่วนหนึ่ง รักษาสิวด้วยตนเองแล้วไม่ดีขึ้น ซึ่งสิว หากปล่อยทิ้งไว้นานไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดผลข้างเคียงจากสิวตามมา เช่น รอยดำสิว รอยแดงสิว หลุมสิว ซึ่งผลข้างเคียงจากสิวเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงขึ้นและระยะเวลาในการรักษานานขึ้น ดังนั้นการรักษาสิว หากต้องการผลการรักษาที่ดี ให้สิวลดลงเร็ว รอยสิวจางลง และสามารถป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ ไม่ควรทดลองรักษาสิวด้วยตนเอง เพราะความรุนแรงของสิวที่เป็นและระยะเวลา
การอักเสบของสิว มีผลต่อการเกิดผลข้างเคียงจากสิวที่ตามมาได้
เพราะฉะนั้นจึงควรดูแลรักษาสิวโดยแพทย์ เนื่องจากการรักษาสิวที่โดยแพทย์จะได้รับการตรวจรักษาโดยแพทย์อย่างตรงจุด รักษาได้ตรงกับรอยโรค ตรงกับระดับความรุนแรงของสิวที่เป็นอยู่ รักษาได้อย่างรวดเร็ว ทันท่วงที ก่อนที่การรักษาจะล่าช้าไปจนอาจเกิดผลข้างเคียงเช่นหลุมสิวตามมา
ที่ Worawalan clinic คลินิกรักษาสิวโคราช หมอเจี๊ยบ หมอสิวโคราช เลือกใช้รักษาแบบองค์รวมที่ผสมผสานระหว่างทั้งการใช้ยา การทำทรีทเม้นต์ ร่วมกับการรักษาเสริมอื่น ๆ เช่นการฉายแสงสิว การผลัดเซลล์ รวมถึงการรักษาด้วยคลื่นแสงและเลเซอร์ซึ่งคัดสรรที่ได้รับมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA.) และประเทศเกาหลี (KFDA. ) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุด
พร้อมทีมงานที่ได้รับการอบรมการกดสิวอย่างชำนาญ รวมถึงความใส่ใจดูแลให้คำแนะนำ ตรวจติดตามผลการรักษาโดยหมอเจี๊ยบในทุกครั้งที่มารับการรักษา จึงให้ผลลัพธ์การรักษาที่ชัดเจน รวดเร็ว จนมีการแนะนำกันปากต่อปาก
หากคิดจะรักษาสิวในจังหวัดนครราชสีมา สามารถปรึกษาหมอเจี๊ยบ หมอสิวโคราช ได้ที่ Worawalan Clinic คลินิกรักษาสิวโคราชนะคะ ปรึกษาหมอเจี๊ยบฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายในการปรึกษา เพื่อที่จะได้การรักษาที่ตรงจุด ไม่ต้องไปทดลองรักษาสิวด้วยตัวเอง